ตำรวจ ปส. แถลงผลงานไล่ล่า 100 เครือข่ายค้ายา ยึดทรัพย์กว่า 105 ล้าน

0
407
บช.ปส. แถลงข่าว 2567

ตามแผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย ทลายแก๊งทะเลหลวงข้ามชาติ ยึดทรัพย์กว่า 105 ล้านบาท และสกัดจับทีมขนยารายใหญ่เส้นทางเหนือ อิสานตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นการใช้ทุกมาตรการทางกฎหมายเพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติด และยึดทรัพย์ที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งเน้นในการเร่งรัดดำเนินการป้องกันปราบปราม ยาเสพติดในทุกมิติ เนื่องจากปัญหายาเสพติดอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและเป็นภัยสังคม

วันนี้ 4 ม.ค.67 เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส. ,พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง ,พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. และ พล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ,พล.ต.ต.อาทร ชิ้นทอง ผบก.ประจำ บช.ปส. และนายอุดมชัย โลหณุต ผอ.ป.ป.ส. กทม. ผู้แทนสำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมแถลงผลงาน บช.ปส.ภายใต้แผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย สามารถจับกุมเครือข่ายยาเสพติดและยึดทรัพย์สินรายสำคัญ 4 คดี ผู้ต้องหา 6 คนของกลางยาบ้ากว่า 16 ล้านเม็ด, เฮโรอีน 27 กก. และยึดทรัพย์สินเครือข่ายได้ประมาณ 105 ล้านบาท

คดีแรก เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.66 ตำรวจ กก.3 บก.สกส. ร่วมกับ บก.ขส.ได้รับแจ้งจากสายลับว่ากลุ่มเครือข่ายยาเสพติดของผู้ต้องหาจะลักลอบลำเลียงยาเสพติด และกำลังจัดหาผู้ลำเลียงจากพื้นที่ชายแดนไทยด้าน จว.เชียงราย ไปส่งมอบ ให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคกลาง จึงวางแผนจับกุม ตรวจสอบพบยาบ้าประมาณ 503,673 เม็ด

คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.66 ตำรวจ บก.สกส.พร้อมด้วย กก.2 บก.ปส.2 และ บก.ขส. ร่วมกันจับกุม 2 ผู้ต้องหา หลังสืบทราบว่ามีพฤติการณ์การลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่จว.นครพนม เพื่อไปส่ง ให้กับลูกค้าทางพื้นที่ จว.สระบุรี จึงได้สะกดรอยติดตาม วางแผนจับกุมผู้ต้องหาได้พร้อมของกลางยาบ้า 8,689,000 เม็ด และเฮโรอีน 225 ก้อน น้ำหนักประมาณ 27 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ท้ายรถบรรทุก

คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.66 ตำรวจ กก.1 บก.ปส.2 ได้สืบสวนกลุ่มเครือข่ายนักค้ายาเสพติดโดยใช้รถยนต์ ในการ ลักลอบลำเลียง หลังพบเคลื่อนไหวขับขี่จากพื้นที่กรุงเทพฯ ขึ้นไปยังพื้นที่ภาคเหนือในพื้นที่ อ.แม่อาย จว.เชียงใหม่ และจะมี การลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ตามแนวชายแดน ไปส่งให้กับลูกค้าในเขตพื้นที่ตอนใน วางแผนจับกุมผู้ต้องหาได้พร้อมยาบ้ารวม 6,500,000 เม็ด

คดีที่ 4 สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 ส.ค.66 บก.ปส.4 ได้จับกุมกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติรายใหญ่ ได้ที่บริเวณริมถนนหน้าศาลาริมทางบ้านห้วยน้ำเย็น ม.4 ต.ทรายขาว อ.หัวไทร จว.นครศรีธรรมราช ขณะใช้รถยนต์กระบะลำเลียงคีตามีน จำนวนรวม 851 กก. จากจังหวัดระนอง เพื่อนำมาส่งให้ที่ อ.หัวไทร จว.นครศรีธรรมราช จึงวางแผนจับกุมผู้ต้องหาได้ในคดีนี้รวม 4 ราย ภายใต้แผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย บก.ปส.4 ได้เปิด “ยุทธการเด็ดปีกมาร67/1ทลายแก๊งทะเลหลวงข้ามชาติ” ดำเนินการปิดล้อมตรวจค้น เพื่อจับกุม ผู้ต้องหาตามหมายจับและยึดทรัพย์จำนวน 16 เป้าหมาย สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้จำนวน 2 หมาย ทำหน้าที่ทางการเงิน รวมทั้งตรวจยึดทรัพย์สิน 34 รายการ รวมมูลค่า 105 ล้านบาท

พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. ระบุว่า ที่ผ่านมาได้สั่งการให้ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มในการสกัดกั้น การลักลอบ ลำเลียงยาเสพติด ทั้งตามพื้นที่แนวชายแดนและการลำเลียงเข้ามาสู่พื้นที่ตอนใน และให้ใช้มาตรการทางกฎหมายทุกรูปแบบ เพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดโดยเด็ดขาด โดยให้สืบสวนขยายผลเพื่อดำเนินคดีและยึดทรัพย์สิน ผู้สั่งการและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งนำมาสู่ผลการจับกุมพร้อมยาเสพติดได้จำนวนมากในครั้งนี้ และสำหรับแก็งทะเลหลวงข้ามชาตินั้น มีความเชื่อมโยงกับหลายเครือข่ายที่บช.ปส.ได้จับกุมมาก่อนหน้านี้ ซึ่งชุดสืบสวนจับกุมได้ใช้ความพยายามในการสืบสวนขยายผลอย่างต่อเนื่อง จนสามารถออกหมายจับเครือข่ายผู้สั่งการ และติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีและยึดทรัพย์ได้ดังกล่าว

สำหรับเดือน ธันวาคม 2566 ตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ได้จับกุมขบวนการค้ายาเสพติด รายสำคัญ 19 คดี ผู้ต้องหา 23 คน ของกลาง ยาบ้า 15,692,673 เม็ด, ไอซ์ 1,001 กก. เฮโรอีน 39.43 กก., โคเคน 11.18 กก. และคีตามีน 1,200 กก. และตรวจยึดทรัพย์ ไว้ตรวจสอบมูลค่าประมาณ 414.14 ล้านบาท